เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ! ฟังธรรมนะ โยมมาใหม่เวลาฟังเรานี่ มันก็แบบว่ารู้สึกว่าแรง แต่โยมที่เขามาหาเรานี่ ๒๐-๓๐ ปีแล้วนี่ เวลาเขามาแล้วเขาต้องการสิ่งใดเพื่อเป็นกำลังใจ เวลาเรามาจากบ้านจากเรือน เรามีแต่ความทุกข์ความยากในหัวใจมันบีบคั้นมา มาฟังธรรม.. ฟังธรรมเพื่อมาเคาะให้สะเทือน ให้สิ่งที่มันเกาะหัวใจนี่ ให้มันปล่อยวางบ้าง ให้เราได้หายใจได้สะดวกสบายบ้าง
ฉะนั้นเวลาฟังธรรมนี่ มันต้องสะเทือนหัวใจ เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เวลาหลวงตาท่านเทศน์พระ บอกเลยนะ ถ้าใครฟังแล้วไม่สะเทือนใจ คนนั้นภาวนาไม่ได้หรอก ! เพราะมันไม่ได้ปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าใครปรับปรุงตัวเอง มันสะเทือนหัวใจนะ สะเทือนหัวใจเรานี่ เราจะทำอย่างไร เราจะสู้หรือไม่สู้ เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกเลย ท่านเรียนจนเป็นมหานะ มหานี่มันเข้าใจพระไตรปิฎกหมดล่ะ มันแต่งพระไตรปิฎกก็ได้ เพราะมันเขียนบาลีได้ มันก็มีความสงสัยว่านิพพานมีจริงหรือเปล่า.. ในตำราบอกว่ามีจริง
เวลาไปฟังหลวงปู่มั่นนะ นิพพานไม่ได้อยู่ในอากาศ นิพพานไม่ได้อยู่ในอะไรเลย นิพพานไม่ได้อยู่ในร่างกาย นิพพานไม่ได้อยู่ในอะไรเลย แต่อยู่ในหัวใจของสัตว์โลก ! พอท่านฟังแล้ว ท่านลงใจ เพราะท่านเป็นมหา ท่านศึกษาทางวิชาการมาหมดแล้ว
ท่านถามตัวท่านเองเห็นไหม นี่ที่สงสัยๆ อยู่ เราบอกเลยนะ ถ้ามีใครแก้ความสงสัยเราได้ เราจะทุ่มทั้งชีวิตเลย บัดนี้ ! หลวงปู่มั่นท่านได้เคลียร์ในหัวใจเราหมดแล้ว เราจะสู้หรือไม่สู้ !! เห็นไหม ท่านบอกว่าเอาตายเข้าแลกเลย เราจะสู้หรือไม่สู้ ! ถ้าเราสู้เราจะไปสู่ความจริง
อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อสัจธรรมมันเป็นความจริง ถ้าสัจธรรมมันเป็นจริงเห็นไหม ของจริงมันจะเข้าสู่ของจริง เราแสวงหาของจริงกันอยู่ เราไปหาของจริง ถ้าของจริงมันจะชักเราไปสู่ความเป็นจริง แต่ถ้าของไม่จริงล่ะ ของไม่จริงมันจะชักสู่ที่ไหนล่ะ ของไม่จริงคืออะไร
ของไม่จริง ดูสิ อาหารที่โยมเอามาถวายอยู่ทุกวันนี่ มันประกอบไปด้วยอะไร ภาชนะที่บรรจุภัณฑ์มันมานี่ กินไม่ได้สักอย่างเลย แต่เขาเอาสิ่งที่บรรจุมาใส่
ธรรมและวินัย ! มันเป็นวิธีการเข้าสู่สัจธรรม แต่ถ้าเป็นความปลอมนี่ มันคิดว่าบรรจุภัณฑ์นี่ กระดาษนี่ก็กินได้ เอากระดาษไปกินกันนะ เอาถุงพลาสติกไปกินกันนะ อาหารเททิ้ง คนนู้นแกะถุงเลย เทอาหารทิ้ง จะกินถุง มันบอกถุงนี้ดี ถุงนี้กินแล้วจะให้ผลประโยชน์กับร่างกายมาก แต่ไม่รู้จักอาหารไง
นี่ไง ถ้าความไม่จริง.. ไม่จริงนี่..มันไปคิดเห็นไหม ธรรมและวินัยนี่ใครศึกษา ใครปฏิบัติ แล้วจะเข้าใจว่าในพระไตรปิฎกบอกว่านิพพาน.. นิพพานคืออะไร ไม่ได้อธิบายถึงนิพพานเลย แต่ในประไตรปิฎกจะอธิบายถึงวิธีการเยอะมาก วิธีการเข้าไปสู่เป้าหมายน่ะ แล้วโลกเอาวิธีการนั้นไปส่องกล้องกัน
เอาถุงกระดาษนะ เขาบรรจุเห็นไหม ดูสิ กระดาษนี้มันห่ออาหารมา ถ้าเอาอาหารนั้นไปวิเคราะห์วิจัย มันจะได้ประโยชน์มาก มันเอากระดาษ เอาบรรจุภัณฑ์ไปส่องกล้องกัน เอ้.. กระดาษนี้กินแล้วจะมีคุณค่ากับร่างกายไหมหนอ กระดาษนี้กินเข้าไปแล้วกระเพาะมันจะย่อยได้หรือไม่ได้เนาะ แล้วมันก็เถียงกัน.. เถียงกันอยู่อย่างนั้น พอเถียงกันแล้วก็ไม่จบ
แต่ถ้าผู้รู้จริงเห็นไหม หลวงปู่มั่น เวลาท่านสอนหลวงตา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐมาก เชิดชูไว้บนศีรษะ ธรรมและวินัยนี่ เราเชิดชูไว้ด้วยความเคารพนบนอบ แล้วสิ่งที่ศึกษามานี่ ให้เก็บไว้ก่อน !.. ให้เก็บไว้ก่อน ! ถ้าไม่เก็บไว้ก่อนนะ เวลามาปฏิบัติมันจะเตะ มันจะถีบกัน
คำว่า เตะถีบนะ ! ข้อเท็จจริง.. เรานั่งสมาธิสิ เราพยายามปฏิบัติสิ เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ เราจะมีความรู้สิ่งใดบ้างเกิดขึ้นมา เราก็สงสัย เอ้.. พระไตรปิฎกว่าอย่างนั้นนะ นี่พอมันปล่อยอย่างนี้เป็นพระอรหันต์แล้วนะ พระอรหันต์มันจะว่างอย่างนั้นนะ นี่คือว่า จะจริง.. จะจริงคือจิตมันจะเป็นไป เราก็สงสัย เราก็เอาวิชาการมาเปรียบเทียบ มันเตะถีบกันอย่างนี้ไง
ความเป็นจริงมันเข้าจริงไม่ได้ ดูสิ ดูนักกีฬา หรือผู้ฝึกหัดงานใหม่ การทำงานนั้นจะมีความผิดพลาดไปตลอดเส้นทางการทำงาน ผู้ที่ชำนาญการ หรือผู้ที่ทำงานเสร็จแล้ว งานของเขานี่ หลับตาทำได้เลย เพราะเขามีความชำนาญมาก
จิตผู้ที่ฝึกหัดใหม่ จิตผู้ที่หัดประพฤติปฏิบัติ การกระทำมันต้องมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา ความจะเข้าสมาธิมันก็เข้าไม่ได้หรอก มันเข้าไปจิ่มๆๆ แล้วก็เข้าสมาธิไม่ได้ ปัญญามันจะเกิดมันก็สงสัยนะ สงสัยว่า เฮ้ย.. ปัญญาเราคิด อู้ฮู.. ทางวิชาการนะ มันมีสถิติ มันมีข้อมูล มันมีการเปรียบเทียบนะ
แล้วปัญญามันฆ่ากิเลส มันจะลอยมาจากฟ้า อู้ย.. ตกใจนะ มันไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำหรอก ! มันไม่กล้าเข้าไปสู่สัจจะความจริงหรอก ! พอไม่กล้าสู่สัจจะความจริง มันก็เอาไปเทียบพระไตรปิฎกเลยนะ อ๋อ.. พระไตรปิฎกว่าอย่างนั้นนะ อ๋อ.. มีความตกใจอย่างนี้พระอรหันต์น่ะ เวลาจิตมันวิเคราะห์วิจัยมันมีความรับรู้ว่า เออนี่.. ธรรมะเป็นอย่างนี้ นี่ไง นี่ !
แต่ครูบาอาจารย์เราท่านเป็นนะ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมาก่อน แล้วท่านรู้ คนปฏิบัติมามันจะรู้เลยว่า.. เราขับรถจากกรุงเทพมาถึงที่นี่ เราจะผ่านสิ่งใดมาบ้าง คนที่ผ่านมา บางคนข้างหน้ามีอุบัติเหตุ รถติดเป็นแถวเลย มาที่นี่ก็มาไม่ทัน คนที่มาก่อนหน้านั้น ถนนจะโล่งเลย เพราะเขามาได้เห็นไหม คนที่มาทีหลังก็ถึงมาไม่ทัน
นี่ผู้ที่ปฏิบัติ เราผ่านเส้นทางนี้ทุกวัน เส้นทางนี้ผ่านทุกวันเลย เดี๋ยวมีอุบัติเหตุ เดี๋ยวเขาจะซ่อมถนน ประเดี๋ยวรถมันจะติด บางวันถนนโล่งหมดเลย การปฏิบัติของคนเป็นอย่างนี้ มันแตกต่างหลากหลาย มาถนนเส้นเดียวกัน มาตอนเวลาเร่งด่วน รถติดหมดเลย เวลามาตอนปกติ ถนนโล่งหมดเลย เห็นไหม มันแตกต่างกันอย่างไร
แต่พระไตรปิฎก เป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น.. รถติดก็คือรถติดอ่ะ กี่ชาติก็รถติดอยู่อย่างนั้น มันจะติดได้อย่างไร เขาจะกลับบ้านเขา เขาไม่ต้องติดอยู่บนถนนหรอก เขาจะกลับบ้านใครบ้านมัน
การกระทำของมันมีอย่างนี้เห็นไหม การกระทำอย่างนี้นี่ข้อเท็จจริง ฉะนั้นเวลาปฏิบัตินี่ มันมีอยู่อันเดียวเท่านั้นล่ะ เป็น หรือ ไม่เป็น ไม่เป็นพูดผิดหมด ..! เป็นพูดถูกหมด ..! พูดคำเดียวกันน่ะ แต่พูดผิดหมดเลย เพราะมันไม่มีที่มาที่ไป
มันเหมือนถึงเวลา มันก็อบปี้มานี่ มันไม่มีเหตุมีผล แต่เอกสารกว่ามันจะสำเร็จขึ้นมานี่ เราต้องร่างมา มันต้องมีที่มาที่ไป นี่กล่าวถึงเหตุใด เอกสารนี้เพราะอะไร ทำแล้วจบขบวนการเป็นอย่างไร แต่มันก็อบปี้มา มันได้ตัวอักษรมาแต่มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
นี่ความจริงและความปลอม ! เรามาวัดมาวาแล้วนี่ เราจะมาฟังธรรมเพื่อเตือนหัวใจของเรา เพื่อเตือนสติของเรา เตือนสติสตังของเราขึ้นมา แล้วเราให้มีสติขึ้นมา เราเทียบเคียงของเราขึ้นมา เราหวังนะ ทุกคนเวลามานี่ ทุกคนบอกว่าประพฤติปฏิบัติมา คนที่ประพฤติปฏิบัติมานี่ มันต้องมีความเข้าใจ
เวลาธุดงควัตรต่างๆ บอกว่าลูกศิษย์พระป่า.. พระป่า.. ยิ่งบอกว่ามาจากบ้านตาดนี่ พอใครบอกว่ามาจากบ้านตาดนี่ เราจะหวังทันทีเลยว่า คนผ่านครูบาอาจารย์มาแล้วนี่ มันจะรู้ถูกรู้ผิด เห็นไหม
เวลาฝึกข้อวัตร เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอก พระที่อยู่กับท่านนะ ท่านบอก.. หลวงตานะท่านพรรษามากแล้ว ๑๐ กว่าพรรษา ตอนนั้น ๑๕-๑๖ พรรษาได้แล้ว นี่พระบวชเข้ามาก็พรรษา ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๕ พรรษา ๖ นี่มันมีใช่ไหม ท่านบอกว่า มหา ! ให้พวกพรรษาอ่อนๆ มันเข้ามาฝึกข้อวัตร ให้มันมาฝึกข้อวัตรไว้ มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป
คำว่าข้อวัตรติดหัว.. เราเข้าไปทำแล้วเราเป็นใช่ไหม เราทำงานเป็น เรารู้ระเบียบใช่ไหม สิ่งใดควรหรือไม่ควรเห็นไหม สิ่งนี้เราทำแล้วนี่ สิทธิเราได้หรือไม่ได้นี่ สิ่งนี้มันฝึกไป ถ้ามันฝึกไปเห็นไหม เวลาใครมาบอก บ้านตาด.. บ้านตาด.. เราก็หวังอย่างนี้ หวังว่ามาจากบ้านตาด ! หวังว่าเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ! ถ้าลูกศิษย์กรรมฐานนี่มันต้องรู้ระเบียบสิ อะไรเป็นระเบียบควรและไม่ควร เพราะเราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน
แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธนี่มันห่างไกลจากศาสนา ชาวพุทธที่เป็นชาวบ้าน เขาจะไม่รู้อะไรเลย พอเขาไม่รู้อะไรเลย เขาเข้ามาวัดนะ เขามาวัด โอ้ย.. ที่นี่ไม่ใช่วัดหรอก ที่นี่เป็นสวนของเอกชน ไม่เห็นมีเครื่องหมายอะไรบอกว่าเป็นวัดเลย ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร สิ่งใดๆ เลย นี่เขาไปมองตรงนั้น มองศาสนวัตถุไง ไม่ได้มองศาสนธรรม !
เวลามีคนไปหาหลวงตานะ หลวงตาบอกว่า ให้ไปเดินดูวัด.. ไปเดินดูวัด
แล้วกลับมาถามว่า เห็นวัดไหม
ไม่เห็น เห็นต้นมะพร้าว เห็นต้นสัก ไม่เห็นข้อวัตรไง วัดคืออะไร วัด ด.เด็ก นะวัตถุ แต่ถ้าวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติน่ะวัตร !
แล้วข้อวัตรปฏิบัติ ดูสิ ดูภิกษุสิ ภิกษุก็เงียบสงัด ไปไหนเขาต้องการความสงัดของเขา เขารู้นะ คนที่รู้เห็นไหม รู้จบขบวนการแล้วสูงสุด ดูสิ สูงสุดน้อมลงสู่ดิน .. สูงสุดสู่สามัญ .. สูงสุดรู้ขบวนการทั้งหมดแล้ว เหมือนไม่รู้อะไรเลย แต่รู้หมดเลย !
...ไอ้คนที่มาพร่ำๆๆๆ นั่นนะ อันนั้นไม่รู้อะไรเลย !!
เวลามานะ โอ๋ย.. ที่นี่เงียบนะ ที่นี่สงัดมากเลย มันนะตัวทำลาย ! มันนะตัวทำลายความสงัด เพราะมันพูดขึ้นมาเสียงหนวกหูแล้ว แต่คนที่มาเขาสงัดนะ เขาพอใจ ไอ้บอก อูย.. ที่นี่ดีมากเลย โอ้โฮ.. ที่นี่มันสงัดนะ โอ๋ย.. พระที่นี่ดีมากเลย มึงนี่ตัวหนวกหู ! มึงน่ะตัวทำลายความสงัดเขาแล้ว !
แต่ถ้าคนที่เขาเห็นความสงบสงัด แล้วเขาดีใจ เขาเก็บไว้ในใจ ทีนี้สิ่งที่เราหวังเวลามาจากครูบาอาจารย์นี่มันต้องรู้ ต้องเป็น แต่กว่าจะรู้จะเป็น แล้วเราผ่านจากอาจารย์อะไรมาล่ะ ดูสิ อย่างธุดงควัตรนี่ ธุดงควัตร.. เวล่ำเวลาเห็นไหม ธุดงควัตรเพื่ออะไร
นี่แล้วคิดทางโลกเห็นไหม ธุดงควัตรให้มันยุ่งใช่ไหม นี่ก็รับๆ ไปก็หมดเรื่อง คนมักง่าย ! คนมักง่าย ! คนเห็นแก่ตัว ! คนคิดอะไรเอาความสะดวกสบาย กิเลสทั้งนั้น !! เห็นแก่ตัว !! เอาแต่ความสะดวกสบายของตัว !! ทำสิ่งใดเพื่อเป็นการขัดเกลากิเลส มันไม่พอใจ !
การธุดงควัตร ! เราธุดงค์นี้เพราะอะไร เพราะเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ทำให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของเขา เขาก็มีความเชื่อถือศรัทธา.. ความศรัทธา ความเชื่อถือนั่นน่ะ มันเอาทุกอย่างที่เรามีความพอใจมาถวายพระได้หมดเลย
แต่ถ้าเขาไม่เชื่อถือศรัทธาล่ะ ธุดงควัตรในป่านะ เราธุดงค์มานะ อยู่ทางอีสานนะ มันก็ได้ผักต้มห่อใบตองเท่านั้นล่ะ บิณฑบาตมีข้าวเหนียวกับผักต้มห่อใบตอง มีแจ่วนิดหน่อย เท่านั้นเอง ! มีเท่านั้น เพราะเราธุดงควัตร แต่สิ่งนั้นแล้วเราพอใจไหมล่ะ
พอธุดงค์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านธุดงค์ขึ้นมานี่ สิ่งใดตกบาตร ในพระไตรปิฎกเห็นไหม เวลาพระจะออกบิณฑบาต วันนี้จะได้อะไรมา นี่ตัวเองยังไม่ได้บิณฑบาตเลย กิเลสมันกินไป ๒-๓ คำแล้ว ท่านเลยไม่ไปเห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราธุดงค์เราก็อยากได้สิ่งนั้น อยากได้สิ่งนี้ ได้สิ่งใดมันไม่ได้สมความปรารถนาหรอก.. มันไม่ได้สมความปรารถนาของเรา เว้นไว้แต่คนปฏิบัติดีเห็นไหม
ดูสิ ดูอย่างพระสารีบุตร เป็นโรคปวดท้อง พระโมคคัลลานะไปเยี่ยม..
นี่มันเป็นเพราะเหตุใดล่ะ
นี่มันเป็นโรคปวดท้อง โรคนี้เป็นโรคประจำตัว
แล้วมันหายเพราะอะไร
หายเพราะยาคู ยาคู.. ยาคูตอนเช้าไง พระโมคคัลลานะก็ดลใจเทวดา เทวดาก็ดลใจคฤหัสถ์ ดลใจญาติโยม
ญาติโยม ตอนเช้าขึ้นมาก็ทำยาคูใส่บาตรพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะก็เอามาถวายพระสารีบุตร พระสารีบุตรไม่ยอมฉัน บอกว่ามันได้มาด้วยความทุจริต มันไม่สุจริต มันไม่ได้มาด้วยเจตนาของเขา มันได้มาเพราะพระโมคคัลลานะเป็นสหธรรมิก เป็นเพื่อน เป็นผู้สนิทกับพระสารีบุตร ด้วยความอยากช่วยเพื่อนเห็นไหม
ไม่ได้ทำเองนะ ดลใจเทวดา เทวดาก็ดลใจคฤหัสถ์ ดลใจคนใส่บาตรว่า พรุ่งนี้อยากจะทำยาคูถวายพระ แล้วพระโมคคัลลานะก็ไปบิณฑบาต พอบิณฑบาตได้สิ่งนั้นมา ก็นำมาถวายพระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านป่วย ท่านเป็นโรคท้องเสีย ท่านต้องได้ยาคู ท่านบอกว่า ท่านฉันไม่ได้ มันได้มาด้วยความทุจริต มันไม่ได้ด้วยความสุจริต
ถ้าด้วยความสุจริต คือเขาตั้งใจของเขา บุญกุศลของเขา ปฏิคาหก มันด้วยความสะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม นี่ภิกขาจาร นี่ขนาดว่าบิณฑบาตมานะ แต่เพราะว่ามีการดลใจ มีการชักนำ มีการโน้มนำ ไม่ฉัน.. ไม่ทำ.. ไม่เอา.. นี่ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของผู้เป็นธรรมนะ แต่ถ้าไม่เป็นธรรมนะ มันเป็นการจัดฉาก มันเป็นการจัดฉากทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของโลกๆ ทั้งนั้น
นี่เรื่องของสังคมนะ โลกเป็นโลก นี้พูดถึงธรรม ถ้าทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เพื่อหัวใจของเรา ใจเราทุกข์ร้อนมาพอแรงแล้ว เรื่องของโลกมันเป็นอย่างนี้ โลกธรรม ๘ เป็นธรรมะเก่าแก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญมีมาเก่าแก่
ฉะนั้น เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะมีจุดยืนของเรา โลกธรรม ๘ ถ้าเขาเข้าใจผิด เขาจะนินทามันก็เรื่องของเขา ความจริงก็คือเป็นข้อเท็จจริงของเรา แต่เขาจะสรรเสริญขนาดไหน มันก็เป็นเรื่องของเขา เขาเข้าใจผิด เขาจะสรรเสริญเรามากกว่าข้อเท็จจริงก็ได้
ฉะนั้น เขาจะสรรเสริญ เขาจะนินทา มันอยู่ที่หลักใจของเรา ถ้าหลักใจของเรามีแล้วนะ เราเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะซึ้งใจมาก ซึ้งใจเพราะเรารักษาใจของเรา อย่างอื่นมันเป็นเครื่องอาศัย อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกเห็นไหม แต่เราอยู่กับโลก อาศัยโลกไปก่อน อาศัยโลกเพื่อเราจะว่ายน้ำเข้าฝั่งให้ได้ เพื่อความเป็นประโยชน์กับเรา.. เพื่อประโยชน์กับเรานะ เอวัง